"มีคำย่อที่คิดค้นขึ้นมา เพื่อพูดถึงโรคระบาดใหม่ ของคนที่เลือกไม่สิ้นสุด คนที่ชอบเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ คนที่คอยหลีกหนีการผูกมัด และพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ นั้นคือคำว่า เย็ปปี้ส์(Young Experimenting Perfection Seekers-หนุ่มสาวผู้ทดลองแสวงหาความสมบูรณ์แบบ
เมื่อต้องเจอกับตัวเลือกมากมายที่ไม่สิ้นสุดของชีวิตสมัยใหม่
พวกเย็ปปี้ส์ไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะบรรลุความทะเยอทะยานของตนได้อย่างไร ดังนั้น จึงทำการทดลองด้วยแนวทางเดียวกับการช็อปปิ้ง พยายามหางานที่สมบูรณ์แบบ มีความสัมพันธ์กันตามอุดมคติ และใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ พวกเขาชะลอการตัดสินใจในเรื่องสำคัญที่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตออกไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดทางเลือก "อะไรสักอย่าง"ที่พวกเย็ปปี้ส์แสวงหาอาจเป็นสิ่งที่ไม่มีวันหาเจอ
อุดมคติของพวกเย็ปปี้ส์ก็คือ ถ้าพวกเขาทดลองทำงานหลายแบบ ทรงผมหลายทรง และใช้ชีวิตหลายรูปแบบ ในที่สุดก็จะค้นพบตัวตนและความต้องการของตนเอง พวกเขามีความยืดหยุ่นในการเปลี่ยนทิศทาง และรีบกลับลำถ้าอะไรไม่ได้ผล แทนที่จะหยุดนิ่งจมปลักความเป็นอยู่ที่ไม่น่าพึงพอใจ แต่ชาวเย็ปปี้ส์มักจะหาจุดหมายปลายทางของตัวเองไม่เจอ ดังนั้นพวกเขาจึงมีแนวโน้มจะผลัดวันประกันพรุ่งในทุกแง่ของชีวิต
แนวโน้มเช่นนี้ ช่วยอธิบายว่า ทำไมวัยรุ่นสมัยนี้อยู่กับพ่อแม่นานขึ้น แต่บ่อยครั้ง นี่เป็นวิธีที่เข้าท่าทีเดียว สำกรับคนที่เรียนจบกฏหมายแล้วอยากจะเขียนนวนิยาย หรือเป็นเจ้าหน้าที่ประเมินมือใหม่ที่กำลังวางแผนจะหยุดทำงานชั่วคราวเพื่อไปเดินทางแบบซำเหมาในอเมริกาใต้ ถ้าจะพูดกันด้วยคำที่ซ้ำซากก็คือ"เรามีทางเลือกมากเกินไปจนเสียนิสัย"
ขอยกตัวอย่าง พอล ตอนนี้เขาอายุสามสิบปลายๆ เช่นเดียวกันกับเพื่อนร่วมรุ่นที่เรียนกันมา พอลยังคงหาตัวเองไม่เจอ ไม่รู้จะทำไงกับชีวิตดี ในบางวูบ พอลก็เป็นศิลปินและทำธุรกิจการตลาดเล็กๆจากที่บ้าน แต่ส่วนใหญ่แล้วเขาจะทำงานในอุตสาหกรรมประกันภัย แม้ว่าอีกใจหนึ่ง ก็ต้องการจะหลบหนีจากทุกอย่างในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ ดังนั้น เขาจึงไม่เคยสนใจจะพัฒนาทักษะของตนเอง หลีกเลี่ยงการผูกมัดหมดตัวหมดใจกับอะไรสักอย่างหนึ่ง ในระยะเวลาที่ยาวนานสมเหตุสมผล และดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น การเป็นคนเปลี่ยนใจง่ายในสังคมที่เลือกง่ายๆเช่นนี้ อาจทำให้เราสับสนอลหม่านเกินจริง...."
...
...
บทความข้างบนนี้ มาจากหนังสือชื่อเดียวกับหัวกระทู้ค่ะ"Enough..หยุดให้เป็น หลุดพ้นจากโลกที่ไม่รู้จักพอ" เป็นผลงานของ จอห์น แนช ในเล่มจะแบ่งออกเป็นตอนๆ บทนี้ มาจากตอนที่ชื่อว่า"พอแล้วกับทางเลือก"
เป็นหนังสือที่ดีมากอีกเล่มหนึ่ง ที่เราอยากแนะนำค่ะ
หยุด!!!ให้เป็น..หลุดพ้นจากโลกที่ไม่รู้จักพอ
เมื่อต้องเจอกับตัวเลือกมากมายที่ไม่สิ้นสุดของชีวิตสมัยใหม่
พวกเย็ปปี้ส์ไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะบรรลุความทะเยอทะยานของตนได้อย่างไร ดังนั้น จึงทำการทดลองด้วยแนวทางเดียวกับการช็อปปิ้ง พยายามหางานที่สมบูรณ์แบบ มีความสัมพันธ์กันตามอุดมคติ และใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ พวกเขาชะลอการตัดสินใจในเรื่องสำคัญที่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตออกไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดทางเลือก "อะไรสักอย่าง"ที่พวกเย็ปปี้ส์แสวงหาอาจเป็นสิ่งที่ไม่มีวันหาเจอ
อุดมคติของพวกเย็ปปี้ส์ก็คือ ถ้าพวกเขาทดลองทำงานหลายแบบ ทรงผมหลายทรง และใช้ชีวิตหลายรูปแบบ ในที่สุดก็จะค้นพบตัวตนและความต้องการของตนเอง พวกเขามีความยืดหยุ่นในการเปลี่ยนทิศทาง และรีบกลับลำถ้าอะไรไม่ได้ผล แทนที่จะหยุดนิ่งจมปลักความเป็นอยู่ที่ไม่น่าพึงพอใจ แต่ชาวเย็ปปี้ส์มักจะหาจุดหมายปลายทางของตัวเองไม่เจอ ดังนั้นพวกเขาจึงมีแนวโน้มจะผลัดวันประกันพรุ่งในทุกแง่ของชีวิต
แนวโน้มเช่นนี้ ช่วยอธิบายว่า ทำไมวัยรุ่นสมัยนี้อยู่กับพ่อแม่นานขึ้น แต่บ่อยครั้ง นี่เป็นวิธีที่เข้าท่าทีเดียว สำกรับคนที่เรียนจบกฏหมายแล้วอยากจะเขียนนวนิยาย หรือเป็นเจ้าหน้าที่ประเมินมือใหม่ที่กำลังวางแผนจะหยุดทำงานชั่วคราวเพื่อไปเดินทางแบบซำเหมาในอเมริกาใต้ ถ้าจะพูดกันด้วยคำที่ซ้ำซากก็คือ"เรามีทางเลือกมากเกินไปจนเสียนิสัย"
ขอยกตัวอย่าง พอล ตอนนี้เขาอายุสามสิบปลายๆ เช่นเดียวกันกับเพื่อนร่วมรุ่นที่เรียนกันมา พอลยังคงหาตัวเองไม่เจอ ไม่รู้จะทำไงกับชีวิตดี ในบางวูบ พอลก็เป็นศิลปินและทำธุรกิจการตลาดเล็กๆจากที่บ้าน แต่ส่วนใหญ่แล้วเขาจะทำงานในอุตสาหกรรมประกันภัย แม้ว่าอีกใจหนึ่ง ก็ต้องการจะหลบหนีจากทุกอย่างในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ ดังนั้น เขาจึงไม่เคยสนใจจะพัฒนาทักษะของตนเอง หลีกเลี่ยงการผูกมัดหมดตัวหมดใจกับอะไรสักอย่างหนึ่ง ในระยะเวลาที่ยาวนานสมเหตุสมผล และดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น การเป็นคนเปลี่ยนใจง่ายในสังคมที่เลือกง่ายๆเช่นนี้ อาจทำให้เราสับสนอลหม่านเกินจริง...."
...
...
บทความข้างบนนี้ มาจากหนังสือชื่อเดียวกับหัวกระทู้ค่ะ"Enough..หยุดให้เป็น หลุดพ้นจากโลกที่ไม่รู้จักพอ" เป็นผลงานของ จอห์น แนช ในเล่มจะแบ่งออกเป็นตอนๆ บทนี้ มาจากตอนที่ชื่อว่า"พอแล้วกับทางเลือก"
เป็นหนังสือที่ดีมากอีกเล่มหนึ่ง ที่เราอยากแนะนำค่ะ